เทคโนโลยีโรงแรมอัจฉริยะ อาจมาพร้อมความเสี่ยงด้านไซเบอร์

Smart Technology หรือ เทคโนโลยีอัจฉริยะ ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับธุรกิจในหลากหลายรูปแบบซึ่งส่วนใหญ่มักถูกนำไปยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยมีการผลักดันในเรื่องของธุรกิจบริการและท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว อาหาร ธุรกิจการบริการ และธุรกิจโรงแรม ได้รับการสนับสนุนด้านธุรกิจ และเทคโนโลยี 

จากข้อมูลของคอลลิเออร์ส อินแตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เผยว่า การซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย ในปี 2567 มีประมาณ 12 แห่ง จำนวน 3,199 ห้องพัก ด้วยมูลค่าการซื้อขายถึง 16,778 ล้านบาท และทั้งหมดเป็นการซื้อขายโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่และ สมุย

อีกทั้งยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายอีกจำนวนมาก คาดการณ์ว่า ทั้งปีนี้ มูลค่าการซื้อขายโรงแรมไทย อาจอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามแม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะกำลังเติบโต แต่ก็เป็นธุรกิจที่ได้รับความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นอย่างมากเนื่องจากจะต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก 

เทคโนโลยีอัจฉริยะอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงถูกโจมตีทางไซเบอร์

ทั้งนี้ภาคโรงแรมได้พยายามเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้เข้าพักและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น อุปกรณ์ที่รองรับ IoT และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึง

  • ระบบเช็คอินผ่านมือถือ และ การเข้าห้องแบบไม่ต้องใช้กุญแจ เพื่อให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์ที่รวดเร็วและไร้สัมผัส
  • แชทบอทและระบบเจ้าหน้าที่อัตโนมัติ ที่ใช้ AI ช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร
  • ระบบความบันเทิงอัจฉริยะภายในห้องพัก ที่ช่วยให้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านคำสั่งเสียงหรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
  • เทอร์โมสตัทอัจฉริยะ สำหรับควบคุมอุณหภูมิของห้องพักตามความต้องการ

แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว แต่ก็สร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างมากเช่นกัน ความเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้และปริมาณข้อมูลจำนวนมากที่ต้องบริหารจัดการ ทำให้โรงแรมและที่พักให้เช่า เช่น Airbnb ตกเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับอาชญากรไซเบอร์

อะไรบ้างคือความเสี่ยง

การรั่วไหลของข้อมูล (Data Breaches)

การรั่วไหลของข้อมูลเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมโรงแรม เนื่องจากมีการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลผู้เข้าพักจำนวนมาก เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียง เช่น การรั่วไหลของข้อมูล Marriott ในปี 2018 ที่กระทบต่อข้อมูลของแขกผู้เข้าพักมากถึง 500 ล้านรายการ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหานี้ ข้อมูลที่ถูกขโมยมักประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัตรเครดิต และแม้กระทั่งหมายเลขหนังสือเดินทาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงแก่โรงแรมและเจ้าของที่พักให้เช่า

ช่องโหว่ของอุปกรณ์ IoT (IoT Vulnerabilities)

การใช้ IoT ในโรงแรมและที่พักแบบ Airbnb ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาชญากรไซเบอร์สามารถโจมตีได้มากขึ้น อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อทุกชิ้นอาจเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เจาะเข้าระบบ เช่น การใช้ช่องโหว่ใน เทอร์โมสตัทอัจฉริยะหรือระบบไฟอัจฉริยะ เพื่อเข้าถึงเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นและล้วงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้บริการ

ฟิชชิ่งและการโจมตีทางวิศวกรรมสังคม (Phishing & Social Engineering)

อาชญากรไซเบอร์มักใช้ อีเมลหรือข้อความในเชิงการหลอกลวง เพื่อขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลสำคัญของพนักงานและผู้ใช้บริการ หากตกเป็นเหยื่อของการโจมตีเหล่านี้ อาจทำให้เกิดการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตและการรั่วไหลของข้อมูล

ช่องโหว่ของระบบจุดขาย (POS Systems)

ระบบจุดขาย (POS) ในโรงแรมมีการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก จึงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับแฮกเกอร์ การโจมตีระบบ POS อาจเกี่ยวข้องกับมัลแวร์ที่สามารถดักจับข้อมูลบัตรเครดิตก่อนที่มันจะถูกเข้ารหัส โรงแรมขนาดใหญ่ เช่น Hilton เคยเผชิญกับการรั่วไหลของข้อมูลครั้งใหญ่จากช่องโหว่ในระบบ POS ของตน

เครือข่าย Wi-Fi ของโรงแรมและ Airbnb (Hotel & Airbnb Wi-Fi Networks)

เครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยในโรงแรมและที่พัก Airbnb อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่ในเครือข่ายเพื่อดักฟังข้อมูลที่ผู้เข้าพักส่งต่อกัน หรือแม้แต่เปิดการโจมตีไปยังระบบภายในของโรงแรม ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ

ความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (Third-Party Vendors)

โรงแรมและเจ้าของที่พักให้เช่ามักพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอก เช่น ระบบชำระเงินและระบบบริหารจัดการลูกค้า หากผู้ให้บริการเหล่านี้ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware)

การโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแฮกเกอร์จะล็อกระบบของโรงแรมและเรียกค่าไถ่เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้อีกครั้ง การโจมตีเหล่านี้สามารถทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก เช่น ป้องกันไม่ให้แขกเช็คอินหรือออกจากโรงแรม ส่งผลกระทบทั้งด้านการเงินและชื่อเสียงของโรงแรม

แนวทางการแก้ไขและป้องกันสำหรับเพิ่มความปลอดภัยให้โรงแรม

โรงแรมควรใช้แนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

การแบ่งเครือข่าย (Network Segmentation)

โรงแรมควรแยกเครือข่ายสำหรับผู้ใช้บริการออกจากเครือข่ายของฝ่ายบริหาร เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยการแยก Wi-Fi สำหรับผู้ใช้บริการออกจากระบบภายในโรงแรม ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ และป้องกันข้อมูลสำคัญของโรงแรมจากการถูกเข้าถึงผ่านเครือข่ายของผู้เข้าพัก 

การใช้ระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (Multi-Factor Authentication – MFA)

การใช้ MFA (Multi-Factor Authentication)  ช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันให้กับระบบของโรงแรม การกำหนดให้มีการยืนยันตัวตนหลายรูปแบบ เช่น รหัสผ่านและการสแกนลายนิ้วมือ ช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะสำหรับข้อมูลสำคัญและระบบหลักของโรงแรม

การตรวจสอบและพัฒนาระบบความปลอดภัยเป็นประจำ (Regular Security Audits and Updates)

การตรวจสอบระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอช่วยให้โรงแรมสามารถระบุช่องโหว่ในระบบได้ การอัปเดตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่างต่อเนื่องช่วยปิดช่องโหว่ที่เป็นที่รู้จัก และป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ล่าสุด

การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Employee Training)

การให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ การจัดอบรมเป็นประจำช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับการโจมตี เช่น การโจมตีแบบฟิชชิ่ง และการโจมตีทางวิศวกรรมสังคม (Social Engineering) ได้ดียิ่งขึ้น พนักงานที่มีความรู้เป็นแนวป้องกันด่านแรกของโรงแรมในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

แม้ว่านักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถใช้มาตรการป้องกันข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายๆ เช่น การใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม ตรวจสอบรายการธุรกรรมทางธนาคาร และระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล แต่ความรับผิดชอบหลักในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังคงอยู่ที่โรงแรม

ข้อมูลส่วนบุคคล คือสิ่งที่มิจฉาชีพและแฮ็กเกอร์ต้องการมากที่สุด ในบทความหน้าเราจะมาอธิบาย แนวทางการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของอุตสาหกรรมโรงแรมในเชิงลึกมากขึ้น

ที่มา : Level Blue, Acid Tech,

สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ “OneFence”

Tel. : 061-462-6414, 02-103-6462
Line : @securitypitch
Email : [email protected]

บทความที่น่าสนใจ