อีกกี่ครั้ง ที่ โรงพยาบาล ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

‘โรงพยาบาล’ สถานที่สำหรับให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้ป่วย โดยมีภารกิจในการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูภาวะความเจ็บป่วย หรือโรคต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สิ่งสำคัญคือต้องปลอดจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะในภาวะปกติ หรือแม้แต่ในภาวะสงคราม 

และแม้จะเป็นสถานที่ที่ควรปลอดภัยที่สุด แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงและภัยคุกคามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง กลายเป็นอีกข่าวคราวที่สร้างความกังวลใจประชาชน เช่นเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดกรณีคนร้ายลอบวางเพลิง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยถือระเบิดขวดและอาวุธปืนเข้าไปในอาคารโรงพยาบาล ก่อนจุดไฟพร้อมปาระเบิดจนเกิดเพลิงลุกไหม้ และหลบหนี กระทั่งถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด 

จากรายงานพบว่าการวางเพลิงครั้งนี้สร้างความเสียหายมูลค่าถึง 80 ล้านบาท ซึ่งหากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในโรงพยาบาล 

ทั้งนี้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบ่งบอกได้ว่า หน่วยงานสาธารณสุขในไทยไม่น้อยที่ยังขาดมาตรการความปลอดภัยที่แน่นนาน ขณะที่ในหลายประเทศมีการกำหนดมาตรการไว้ชัดเจน

เช่น โรงพยาบาลในสหรัฐฯ มีหลักเกณฑ์กำหนดไว้ว่า

  1. ต้องมีสัญญาณเตือน มีปุ่มกด มีสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือมีระบบตรงไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 
  2. ต้องมีเครื่องตรวจจับโลหะ  เช่น ในกรณีของโรงพยาบาลในเมืองเมืองดีทรอยต์ สหรัฐฯ มีการใช้ เครื่องตรวจจับโลหะ ป้องกันการลักลอบนำอาวุธเข้ามาในโรงพยาบาล โดยได้ทำการทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่ามีผู้ที่พกปืนเข้ามาในห้องฉุกเฉิน 33 ราย พกมีด 1,324 ราย พกสเปรย์ 97 ราย และยังพบวัตถุอันตรายเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนมาก 
  3. ต้องมีกระจกกันกระสุน
  4. ติดตั้งกล้องวงจรปิด 
  5. จัดทำ Safe Room สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อวิ่งเข้าไปหลบเมื่อเกิดภัย
  6. ห้อง Time Out เป็นห้องควบคุมคนไข้ที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรง 
  7. อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ไม่มากเกินจำเป็น และต้องไม่มีความเสี่ยง

ด้านโรงพยาบาลในอังกฤษ มีโครงการของ NHS Protect ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NHS (National Health Service) โดยกำหนด “Zero Tolerance Policy” เพื่อป้องกันและควบคุมความรุนแรงในโรงพยาบาล ตามนโยบายและมาตรการ ดังนี้

  • นโยบายไม่ยอมรับความรุนแรง โดย NHS กำหนดให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องมีนโยบายที่ไม่ยอมรับความรุนแรง ทั้งจากผู้ป่วยและผู้เยี่ยมชม และจะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่
  • การฝึกอบรมโดยบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ต้องได้รับการฝึกอบรม เพื่อรับมือกับ สถานการณ์ความรุนแรง โดยจะมีการฝึกการป้องกันตนเอง การจัดการกับผู้ที่มีพฤติกรรมคุกคาม และการใช้เทคนิคสื่อสารที่ปลอดภัย
  • การสนับสนุนทางจิตใจ ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรง เช่น การให้คำปรึกษาจิตวิทยาหลังจากเกิดเหตุการณ์

สำหรับประเทศไทยเอง ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแนวทางการพัฒนาการจัดการปัญหาความรุนแรงในโรงพยาบาล ไว้ เมื่อปี 2566 ซึ่งเนื้อหาโดยรวมเป็นเรื่องของ หลักการเข้าระงับสถานการณ์ความรุนแรงในโรงพยาบาล  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้น ขั้นตอนการเตรียมตัวรับรองสถานการณ์ คือ

  1. เจ้าหน้าที่หรือทีมงานรองรับ จะต้องมีความรู้ความสามารถและมีความมั่นใจในการรับมือกับสถานการณ์
  2. จัดเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ และสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนและคอยรองรับในกรณีเหตุการณ์เลวร้ายลงตามแนวทางหรือแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ การลดหรือควบคุม สถานการณ์ความรุนแรง (De-escalation) คือ วิธีการหรือมาตรการในการป้องกันหรือตัดวงจรการเกิด ความรุนแรง โดยการสร้างสัมพันธภาพ และไม่ใช้วิธีการเผชิญหน้า ซึ่งหลักการของวิธีการลดหรือควบคุม สถานการณ์ความรุนแรง ได้แก่
  • รีบดำเนินการในระยะเริ่มแรกให้เร็วที่สุด
  • ไม่ใช้วิธีการกระตุ้นหรือเร่งเร้าอารมณ์
  • ค้นหาสิ่งที่ก่อความเครียดและพยายามลดปัจจัยเหล่านั้น
  • ให้ผู้ป่วยมีความเป็นตัวของตัวเอง และให้ความสำคัญแก่ผู้ป่วย 
  • ประเมินสถานการณ์และเลือกใช้มาตรการต่าง ๆ ที่ได้ผล
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือการท้าทายต่าง ๆ
  • จัดสภาพแวดล้อมให้มีความปลอดภัย

ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ มีการออกมาตรการบริหารความเสี่ยงและสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีการระบุระดับความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุว่า ระดับไหนที่จะกระทบกับผู้ป่วย และมีการแบ่งหน้าที่ผู้รับผิดชอบไว้ชัดเจน ตั้งแต่ คณะกรรมการกำกับดูแล, ผู้รับผิดชอบระดับที่ 1-3 , มีการจัดฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร ในหลักสูตร “BDMS Risk Management Certification Program” ซึ่งเป็นการฝึกอบรมผ่านการบรรยายและการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง รวมเวลา 38 ชั่วโมง สามารถไปอ่านรายละเอียดอื่นๆได้ที่ การบริหารความเสี่ยงและสถานการณ์ฉุกเฉินของ โรงพยาบาลกรุงเทพ

และแม้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยในโรงพยาบาลจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่โรงพยาบาลในประเทศไทยหลายแห่งก็ยังขาดเครื่องมือ ระบบ และเทคโนโลยีรองรับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ 

Security Pitch ขอแนะนำการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัย ในโรงพยาบาล ผ่าน 10 วิธี ที่จะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคงปลอดภัยในโรงพยาบาลปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น 

1. ติดตั้ง Access control

การรักษาความปลอดภัยการเข้าถึงโรงพยาบาลเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพื่อพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เช่น  

  • ติดตามการเข้า-ออกของผู้มาเยือน
    ระบบบริหารจัดการผู้มาเยือนเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น ระบบสามารถบันทึกประวัติการเข้าออกได้ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ในกรณีเกิดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ระบบควบคุมการเข้าถึงที่สามารถบันทึกเวลาการเข้าออกพร้อมข้อมูลอย่างละเอียดจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในโรงพยาบาล
  • ตรวจสอบบัตรประจำตัว
    การตรวจสอบบัตรประจำตัวและคีย์การ์ดช่วยป้องกันบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตจากการเข้าถึงพื้นที่ของโรงพยาบาล อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยสมัยใหม่ยังใช้เทคโนโลยีการควบคุมการเข้าถึง เช่น อินเตอร์คอมวิดีโอ ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถยืนยันตัวตนของผู้มาเยือนได้ด้วยภาพ ก่อนอนุญาตให้เข้าภายในอาคาร
  • ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอัตโนมัติ
    ระบบควบคุมการเข้าถึงที่ทันสมัยสามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หรือ เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
  • การบริหารจัดการผ่านระบบคลาวด์
    ระบบควบคุมการเข้าถึงที่ทำงานผ่านคลาวด์ช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมการเข้าออกได้จากระยะไกลแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามารถตอบสนองต่อกิจกรรมที่น่าสงสัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

2. Security Cameras

กล้องวงจรปิดช่วยให้เจ้าหน้าที่และทีมรักษาความปลอดภัยสามารถเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวภายในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือเป็นหนึ่งในมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดในสถานพยาบาล

วิธีที่กล้องวงจรปิดช่วยเสริมความปลอดภัยในสถานพยาบาล

  • เฝ้าระวังผ่านวิดีโอ (Video Surveillance)
    กล้องวงจรปิดสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ภายในโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การโจรกรรม และการก่อกวน
  • ป้องกันอาชญากรรม (Crime Prevention)
    กล้องรักษาความปลอดภัยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องปรามอาชญากรรม ลดโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ เช่น การบุกรุกและการลักทรัพย์
  • ความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วย (Staff and Patient Safety)
    กล้องวงจรปิดถูกติดตั้งในพื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ห้องฉุกเฉินและพื้นที่เปลี่ยว เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย
  • หลักฐานสำคัญ (Evidence Trail)
    หากเกิดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย อุบัติเหตุ หรือข้อพิพาท ภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวนและดำเนินคดี
  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance)
    หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดให้สถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิกทันตกรรม และศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ต้องมีกล้องวงจรปิดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย
  • การเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน (Emergency Preparedness)
    กล้องวงจรปิดมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ หรือภัยคุกคามด้านความปลอดภัย โดยให้ข้อมูลสถานการณ์แบบเรียลไทม์แก่ทีมกู้ภัย

3. จัดเก็บบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบและแม่นยำ

การจัดเก็บบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ช่วยปกป้องเอกสารสำคัญและช่วยสร้างความปลอดภัยในโรงพยาบาล

  • การบันทึกข้อมูลผู้ป่วยอย่างละเอียด
    การเก็บบันทึกประวัติผู้ป่วยอย่างครบถ้วน ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถระบุตัวตนของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง ติดตามประวัติการรักษา และให้การดูแลที่เหมาะสม
  • ติดตามทรัพย์สินของโรงพยาบาล
    ระบบบันทึกข้อมูลที่เป็นระเบียบช่วยให้สามารถติดตามทรัพย์สินของโรงพยาบาล เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์และยา ซึ่งช่วยป้องกันการโจรกรรม การนำไปใช้ในทางที่ผิด และช่วยให้การบริหารจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบและตรวจสอบย้อนหลัง
    การจัดเก็บบันทึกข้อมูลที่แม่นยำและเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย ทำให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ติดตั้ง Panic Buttons

Panic Button คือ ระบบปุ่มฉุกเฉินที่ถูกออกแบบมา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถกดปุ่มเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือทันที โดยปกติแล้วจะใช้ในกรณีที่เกิดอันตรายหรือความไม่ปลอดภัย เช่น ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรง หรือผู้ใช้รู้สึกตกอยู่ในอันตราย ปุ่มนี้จะส่งสัญญาณไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

การใช้งานของ Panic Button อาจพบในสถานที่ต่าง ๆ เช่น

  • ระบบภายในอาคารหรือสถานที่ทำงาน
  • ในยานพาหนะ เช่น รถยนต์หรือรถโดยสาร
  • แอปพลิเคชันมือถือที่ใช้ เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินให้เพื่อนหรือครอบครัวทราบ

โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี การใช้ Panic Button บนมือถือ หรือ ในระบบต่าง ๆ จึงได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งสามารถป้องกันและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

5. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลอื่น ๆ เช่น บ้านพักคนชรา การเฝ้าระวังและการตรวจตราของพวกเขา ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • แนวป้องกันด่านแรก
    เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นแนวป้องกันด่านแรกในการรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้มาเยือนในโรงพยาบาล
  • ป้องกันผู้บุกรุกและพฤติกรรมก่อกวน
    การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สามารถมองเห็นได้ ช่วยป้องกันบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ให้เข้าสู่พื้นที่โรงพยาบาล และช่วยลดพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ส่งผลให้สถานพยาบาลมีความเป็นระเบียบและปลอดภัยยิ่งขึ้น

6. Workplace Security Policy

การดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในโรงพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งปกป้องเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย และผู้มาเยือน

วิธีดำเนินนโยบายความมั่นคงปลอดภัยในสถานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

  • วิเคราะห์พื้นที่ทำงาน (Conduct a Worksite Analysis)
    ควรมีการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานที่ทำงานอย่างละเอียด เพื่อระบุความเสี่ยงและช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น
  • ประเมินอันตรายและกำหนดมาตรการป้องกัน (Evaluate Potential Hazards and Establish Prevention Protocols)
    การวางแผนรับมือเชิงรุกช่วยให้โรงพยาบาลเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกประเภท ลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเหตุการณ์
  • การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยและสุขภาพ (Safety and Health Training)
    การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยและสุขภาพเป็นประจำช่วยให้เจ้าหน้าที่และทีมรักษาความปลอดภัยมีความรู้ที่ทันสมัย และสามารถปกป้องผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. Secure personal information

การรักษาความมันคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลช่วยปกป้องความสมบูรณ์ของข้อมูลผู้ป่วยและเสริมสร้างความเป็นส่วนตัว การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล ช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • ป้องกันการละเมิดข้อมูล
    การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง และระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ช่วยลดโอกาสที่ข้อมูลสำคัญจะถูกโจรกรรมหรือ เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย
    การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าโรงพยาบาลสามารถรักษาความลับของข้อมูลสุขภาพของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย
  • เสริมสร้างความปลอดภัยโดยรวมของโรงพยาบาล
    แนวทางเชิงรุกในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลไม่เพียงช่วยรักษาความลับของผู้ป่วย แต่ยังช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยโดยรวมของโรงพยาบาล ทำให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และความเสี่ยงอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

8. Risk Assessments ประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ 

การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของโรงพยาบาล กระบวนการนี้ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถคาดการณ์ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยล่วงหน้า และพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรับมือ

  • การวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานและระบบปัจจุบัน
    การประเมินอย่างละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน การดำเนินงาน และระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ จะช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นและหาวิธีปรับปรุง
  • จัดการความเสี่ยงที่มองข้ามได้ง่าย
    นอกจากภัยคุกคามที่เห็นได้ชัด เช่น การบุกรุกหรือการโจรกรรม โรงพยาบาลยังต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงที่เงียบ เช่น ผู้ป่วยที่เดินออกจากศูนย์ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือผู้ป่วยที่พลาดมื้ออาหาร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพวกเขา
  • สร้างมาตรการป้องกันแบบเชิงรุก
    การประเมินความเสี่ยงช่วยให้โรงพยาบาลสามารถวางแผนเชิงรุก และดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่า ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

9. Lockdown Protocols

การดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ที่สอดคล้องกับมาตรการความปลอดภัยของโรงพยาบาลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน และช่วยให้แผนปฏิบัติการเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิผล

  • ประเมินและปรับปรุงมาตรการล็อกดาวน์
    การตรวจสอบประสิทธิภาพของมาตรการล็อกดาวน์ที่มีอยู่ ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถระบุจุดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาแนวทางปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น
  • วิเคราะห์ระบบสื่อสารและการควบคุมการเข้าถึง
    การประเมินระบบสื่อสารภายในโรงพยาบาล ระบบควบคุมการเข้าออก และมาตรการรักษาความปลอดภัย ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ล็อกดาวน์ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  • การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
    เจ้าหน้าที่ควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในกรณีล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยง และปกป้องความปลอดภัยของผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้มาเยือนในโรงพยาบาล

10. Infections and Fall Checks

การประเมินแนวทางควบคุมการติดเชื้อและตรวจสอบความเสี่ยงจากการพลัดตกอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในโรงพยาบาล และรักษามาตรฐานความปลอดภัย ลดโอกาสเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่

  • ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค
    การตรวจสอบแนวทางปฏิบัติด้านสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอช่วยให้โรงพยาบาลมั่นใจว่าการป้องกันการติดเชื้อเป็นไปตามมาตรฐาน ลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อในสถานพยาบาล
  • ประเมินปัจจัยเสี่ยงในการพลัดตก
    การตรวจสอบสภาพแวดล้อมและสภาวะของผู้ป่วยที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดำเนินมาตรการป้องกันได้ทันท่วงที เช่น การติดตั้งราวจับ การใช้เตียงที่ปรับระดับได้ หรือการจัดทำแผนดูแลเฉพาะบุคคล หรือ การใช้กล้อง CCTV ที่มีระบบ AI ซึ่งตรวจจับตามเงื่อนไข Area Detection : กำหนดตีกรอบอาณาเขตจากการวางตำแหน่งพื้นที่,  หรือแม้แต่ Line Crossing : กำหนดแนวเส้น พร้อมแจ้งเตือนเมื่อมีการข้ามเส้นที่กำหนด
  • ลดความเสี่ยงและป้องกันการบาดเจ็บ
    การดำเนินมาตรการป้องกันเชิงรุก ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุในโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ที่มา : ButterflyMx, BeaconMedical UK, RoarForGood

สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ “OneFence”

Tel. : 061-462-6414, 02-103-6462
Line : @securitypitch
Email : [email protected]

บทความที่น่าสนใจ